ที่ประชุมได้ถกเถียงติดใจในกลุ่มที่สาม ซึ่ง กมธ. ได้เพิ่มเนื้อหาว่า ถ้าทั้งสามีและภริยามิได้มีสัญชาติไทย หญิงที่รับตั้งครรภ์ต้องมิใช่ผู้มีสัญชาติไทย โดยเห็นว่าเนื้อหากลุ่มนี้ไม่ควรจะต้องใส่ในร่าง พ.ร.บ.นี้ เพราะไม่เกี่ยวกับคนไทย พร้อมเสนอให้ตัดเนื้อหาของกลุ่มที่สามทิ้ง ซึ่งทางกรรมาธิการได้ยอมตัดออก ทั้งนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวกำหนดหลักการเพื่อกำหนดสถานะความเป็นบิดามารดาที่ ชอบด้วยกฎหมายของเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ตลอดจนการควบคุมการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เกี่ยวกับตัวอ่อนและ เทคโนโลยีฯ ไม่ให้ใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง ข้อห้ามในเรื่องของการตั้งครรภ์แทน สิทธิในการดูแลเด็ก นอกจากนี้ ยังห้ามใช้เพื่อธุรกิจหรือผลประโยชน์ทางการค้า โดยมีบทลงโทษผู้กระทำผิดเมื่อเวลา 21.15 น. วันที่ 19 ก.พ. ที่รัฐสภา ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นชอบวาระ 3 ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้วด้วยคะแนน 160 ต่อ 2 และงดออกเสียง 4 และให้ประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สนช. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณร่าง พ.ร.บ.ฯชี้แจงว่า ในชั้นกมธ.ได้มีการปรับแก้ไข 24มาตรา เพิ่ม6มาตรา ส่วนใหญ่แก้ไขถ้อยคำ โดยหลักสำคัญ คือ ผู้หญิงสามารถอุ้มบุญได้ แต่ต้องปฏิบัติภายใต้เงื่อนไขกฎหมายโดยกำหนดใน มาตรา21 เกี่ยวกับการจำแนกกลุ่มคคลที่จะทำการอุ้มบุญ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.สามี ภรรยา คนไทยทั้งคู่ 2.ฝ่ายหนึ่งคนไทยอีกฝ่ายเป็นคนต่างชาติ ซึ่งทั้งสองกลุ่มอนุญาตให้หญิงไทยมาอุ้มบุญได้ แต่ต้องอายุ25ปีขึ้นไปและเคยมีบุตรมาก่อน โดยกลุ่มสองจะต้องจดทะเบียนสมรสไม่น้อยกว่า3ปี และ 3.เป็นคนต่างชาติทั้งคู่นั้นไม่อนุญาตให้ติดต่อจ้างหญิงไทยอุ้มบุญได้เพราะ กลัวจะซ้ำรอยปัญหาเดิม ประเทศไทยจะกลายเป็นฮับอุ้มบุญ มดลูกหญิงไทยกลายเป็นมดลูกโลก
แหล่งที่มา : เดลินิวส์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น