สอบสวนเบื้องต้นทราบว่านายสรศักดิ์เคยเป็นเจ้าของเต๊นท์รถมือสอง แต่ระยะหลังเศรษฐกิจไม่ดี ธุรกิจขาดทุนจึงเลิกกิจการ และเตรียมจะเปลี่ยนไปเปิดร้านขายเสื้อผ้าแทน ก่อนเกิดเหตุผู้ตายนัดหมายพูดคุยกับนายเอกลักษณ์ หนูทอง อายุ 39 ปี ลูกชายเจ้าของบ้านที่เกิดเหตุซึ่งรู้จักสนิทสนมกัน โดยมีนายสุเทพ พุ่มพันธุ์สน เพื่อนของนายเอกลักษณ์ ซึ่งรู้จักกันในช่วงที่นายเอกลักษณ์เคยต้องโทษคดียาเสพติดร่วมวงด้วย โดยทั้ง 3 ตั้งวงดื่มกิน กระทั่งช่วงดึกต่างคนต่างมีอาการมึนเมานายสรศักดิ์และนายสุเทพเกิดทะเลาะ วิวาทกัน เรื่องพูดจาแขวะกันไปมา กระทั่งนายสุเทพบันดาลโทสะชักปืนขนาด 9 มม. ที่พกติดตัวมาจ่อยิงศีรษะนายสรศักดิ์จนเสียชีวิตคาที่ แล้วกระหน่ำยิงซ้ำอย่างบ้าคลั่งจนหมดแม็กกาซีน ก่อนจะหลบหนีไปด้าน พ.ต.อ.อนุสรณ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า นายสุเทพมีประวัติร้ายกาจ เคยเป็นมือปืนรับจ้าง และเพิ่งพ้นโทษคดีฆ่าคนตายได้ประมาณ 3-4 เดือน ก่อนถูกจับดำเนินคดีเคยก่อเหตุมาอย่างโชกโชนจนได้รับฉายา "เทพร้อยศพ" กระทั่งมาก่อเหตุยิงนายสรศักดิ์ อย่างไรก็ตามได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาล จังหวัดสุพรรณบุรีออกหมายจับ เพื่อติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว และหากผู้ต้องหาต่อสู้ขัดขืนเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะต้องใช้มาตรการเด็ดขาดตอบ โต้ เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นอดีตมือปืนรับจ้างประวัติก่อเหตุมาแล้วโชกโชน และมีอาวุธปืนติดตัว คาดว่าคงไม่ยอมให้จับตัวง่าย ๆ และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดทำงานใช้ความระมัดระวังด้วยส่วนสาเหตุ เบื้องต้นตั้งไว้สองประเด็นคือเรื่องส่วนตัวกับทะเลาะกันในวงเหล้าแล้วก่อ เหตุขึ้นเมื่อเวลา 00.20 น.วันที่ 21 ม.ค. พ.ต.ท.ชัยยา แร่เพชรพงส.สภ.สระแก้ว อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี รับแจ้งมีผู้ถูกยิงตายบริเวณบ้านเลขที่ 199 หมู่ 2 ต.ตลิ่งชัน จึงไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.อนุสรณ์ วนาปกรณ์ รอง ผบก.ภ.จว.สุพรรณบุรี พ.ต.อ.อัครัช บัวจงกล ผกก. พ.ต.ท.อภิชาติ อาภาศิลป์ รอง ผกก.สส. ชุดสืบสวน แพทย์รพ.ศูนย์เจ้าพระยายมราช และหน่วยกู้ภัยเณรแก้ว ที่เกิดเหตุเป็นโรงนาปลูกอยู่ใกล้บ้านเลขที่ดังกล่าว พบศพนายสรศักดิ์ เกตุแก้ว อายุ 38 ปี อดีตเจ้าของเต๊นท์รถเอส.เค อ.เมืองสุพรรณบุรี มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด9 มม.เข้าที่ศีรษะ และลำตัวรวม 12 นัด นอนหงายเสียชีวิตจมกองเลือด ข้างศพพบปลอกกระปืนขนาดเดียวกันตกกระจายอยู่ 14 ปลอก หัวกระสุนปืนอีก 10 หัว และพบรถเบนซ์ สีน้ำเงิน ทะเบียน ณษ 7572 กท. ของผู้ตายจอดอยู่
แหล่งที่มา : เดลินิวส์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น