วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

งัดขายของถูกคืนสุขคนไทยดันกระตุ้นเศรษฐกิจโค้งสุดท้าย

896404อย่างไรก็ตามบรรดาห้างร้านต่าง ๆ เองก็ให้ความร่วมมือ เริ่มจาก “ศูนย์การค้าเดอะมอลล์” ได้จัดแคมเปญปีใหม่ส่งท้ายปลายปีนี้ ด้วยการเตรียมกิจกรรมเซอร์ไพร้ส์สุดพิเศษมอบให้กับลูกค้า โดยทุ่มงบประมาณ 40 ล้านจัดแคมเปญในวันที่ 20 พ.ย. 57–4 ม.ค. 58 เพื่อให้ลูกค้าทุกคนสามารถมาใช้เวลาแห่งความสุขร่วมกัน ด้าน “เซ็นทรัล กรุ๊ป” ก็ได้ประกาศผนึกกำลัง 4 บริษัทในเครือเป็นครั้งแรก ทุ่มงบกว่า 1,000 ล้านบาท เปิดตัวแคมเปญใหญ่ส่งท้ายปี ด้วยการดึงศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, ห้างสรรพสินค้าเซน, ห้างเซ็นทรัลชิดลม และ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเอ็มบาสซี สร้างอารมณ์การจับจ่ายในประเทศ เนรมิตให้ใจกลางกรุงเทพฯ มีชีวิตชีวาในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลอง เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าได้ชอปปิงอย่างคุ้มค่าด้วยโปรโมชั่นและส่วนลดเต็มพิกัด ในระหว่างวันที่ 25 พ.ย.–31 ธ.ค. 57 และยังมีการตกแต่งไฟและต้นคริสต์มาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สู่ศูนย์กลางบนถนนสายแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ที่ยาวที่สุด ใจกลางกรุงเทพฯ เพลินจิต-ราชประสงค์ เพื่อคืนกำไรและมอบความสุขให้ลูกค้า คาดว่าจะมียอดขายในช่วงปลายปีที่ 12,000 ล้านบาท

ส่วน “เทสโก้ โลตัส” รวมไปถึง “บิ๊กซี” ได้จัดโปรโมชั่นจำนวนมาก พร้อมจัดงานมอบรางวัลแก่ลูกค้าทั้งรถยนต์เบนซ์ ทองคำ รวมถึงมหกรรมลดราคาแบบกระหน่ำ เป็นต้น หรือแม้แต่ร้านทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมกับกระทรวงพาณิชย์ก็มีการปรับ ลดราคาที่หลากหลาย ทั้งการลดระดับ 10-20% จนถึง 50-80% ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นการล้างสต๊อกสินค้าเพื่อที่นำเงินไปซื้อสินค้ารูปแบบใหม่ มาจำหน่ายแก่ผู้บริโภคในปี 58 ต่อไป

กลยุทธ์งัดสินค้าราคาถูก...มาขาย ให้กับประชาชนคนไทยเพื่อหวังเป็นของขวัญปีใหม่นั้น เป็นเพียงกิจกรรมหนึ่งเท่านั้นที่รัฐบาลท็อปบู๊ตได้พยายามสร้างสรรค์ แม้นัยหนึ่งจะเป็นการมอบของขวัญก็ตาม แต่ขณะเดียวกันก็เป็นอีกหนึ่งนัย ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจในโค้งสุดท้าย...แม้ไม่ได้ช่วยอะไรมากก็ตาม

กระตุ้นศก.จิ๊บจ๊อย

หลาย ฝ่ายต่างมองว่า การตีปี๊บมอบของขวัญให้คนไทยถือเป็นเรื่องที่ดี แม้ว่าไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากนัก แต่เป็นการคืนความสุขให้กับคนไทยมากกว่า เพราะการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดราคาคงต้องใช้เวลาลดราคาต่อเนื่อง 3-4 เดือน ซึ่งภาคเอกชนมองว่าไม่ดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะจะดึงกำลังซื้อล่วงหน้าเหมือนกับโครงการรถยนต์คันแรก พอจบโครงการ ตลาดรถยนต์ก็ซบเซาทันที ไม่ว่าจะเป็นความเห็นของ “ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์” ผู้อำนวยการสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ที่มองว่า โครงการนี้จัดในช่วงสั้น ๆ ไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจมากนัก แต่ได้ผลในการแบ่งเบาภาระค่า

ครอง ชีพประชาชน และสร้างบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งปกติทุกห้างและเอกชนก็มีแคมเปญพิเศษอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ได้ภาพเรื่องพลังความร่วมมือ และบางกลุ่มสินค้าจะมีราคาไฮไลต์ ลดกว่าปกติที่ลดกันอยู่

เช่นเดียวกับ “เวทิต โชควัฒนา” รองประธานผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ที่เล่าว่า เครือสหพัฒน์ฯ จะนำสินค้าจำนวนมากมาลดราคาขายให้มากกว่าปกติ เพื่อช่วยเหลือประชาชน และประเทศชาติ ถือว่า การลดราคาครั้งนี้จะแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา และทำให้ทุกคนมีความสุขได้ แม้จะขาดทุนก็ตาม

1.2 หมื่นสาขาลดราคา

ล่า สุด...พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ ได้จัดหนักโดยการดึงบรรดาเจ้าสัวระดับบิ๊กของไทย มาช่วยหามาตรการขายสินค้าราคาถูกที่มีคุณภาพเพื่อช่วยลดค่าครองชีพทั้งจาก เครือเจริญโภคภัณฑ์, ไทยเบฟเวอร์เรจ, กลุ่มสหพัฒน์ และกลุ่มเซ็นทรัล รวมถึงผู้ประกอบการในการผลิตสินค้า ห้างร้าน และซับพลายเออร์รายใหญ่ ๆ ของประเทศ 15 ราย ซึ่งมีสาขากว่า 12,763 สาขาทั่วประเทศ ในการนำสินค้านับหมื่นรายการมาลดราคาในระดับ 20-70% ในกิจกรรมลดราคาจำหน่ายสินค้าเป็นของขวัญปีใหม่

จัดเต็ม7วัน7คืน

กิจกรรม นี้ จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 24-30 ธ.ค.นี้ เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน ซึ่งสินค้าที่นำมาลดราคามีทั้งประเภทอาหารและเครื่องดื่ม เช่น ข้าวสารถุง ไข่ไก่ น้ำมันพืช บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำดื่ม เป็นต้น รวมไปถึงของใช้ประจำวัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก หรือแม้แต่ เครื่องแต่งกายต่าง ๆ เช่นเดียวกับ ของใช้ในครัวเรือน เช่น เครื่องครัว เครื่องนอน และบรรดาเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงของขวัญ อุปกรณ์การเรียน และ สินค้าอื่น ๆ ที่นำมาลดราคากันอย่างจุใจกันทีเดียว

การให้ของขวัญปี ใหม่กับคนไทยทั้งประเทศด้วยการลดราคาสินค้า... ถือเป็นกิจกรรมประวัติศาสตร์ ที่เชื่อว่าเป็นการลดราคามากที่สุด ขณะเดียวกันได้มีการทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง ระหว่างภาครัฐ ห้างร้านและซับพลายเออร์ จากปกติที่มักเห็นแต่เอกชนที่จัดทำโปรโมชั่นปีใหม่ในการลด แลก แจก แถม อยู่แล้วเพื่อเป็นการแข่งขันในการดึงลูกค้าตามปกติ

ลด-แลก-แจก-แถม

เมื่อ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ชาวบ้านมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยแบบระยะเร่งด่วน ยังไม่ได้ผล หนทางเดียวที่รัฐบาลทำได้ในการเรียกความศรัทธาคืนจากประชาชน หลังจากแก้ปัญหาความขัดแย้งของสังคมได้ระดับหนึ่ง คือ การนำแผนธุรกิจของภาคเอกชนมาใช้ ด้วยการจัดทำโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม สารพัดสินค้า เพื่อให้ชาวบ้านกลับมาใช้จ่ายจนเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว

ดัง นั้นจึงไม่แปลกที่ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้แต่ละหน่วยงาน เร่งจัดทำมาตรการมอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน เพื่อคืนความสุขให้กับประชาชน โดยในส่วนของกระทรวงพาณิชย์เองก็หนีไม่พ้นที่ต้องเป็นหัวหอกหาของขวัญ...ให้ ประชาชนได้ซื้อสินค้าหรือใช้บริการในราคาที่ถูกที่สุด และหลายฝ่ายต่างมั่นใจว่าแนวทางเช่นนี้ จะช่วยให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยแบบถล่มทลายแน่นอน เพราะโดยปกติแล้ว มีของลดราคาที่ใด...รับรองได้ว่าไม่มีพลาดแน่!

นายกฯวอนช่วยคนจน

ขณะ เดียวกันตัวของพล.อ.ประยุทธ์ เอง ได้ใช้โอกาสในการมอบรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น ขอความร่วมมือให้บรรดาเถ้าแก่น้อยเถ้าแก่ใหญ่ช่วยกันดูแลผู้มีรายได้น้อยของ สังคมไทย เช่น การออกบัตร ออกการ์ด ให้ผู้มีรายได้น้อย ไปซื้อสินค้าราคาถูกจากผู้ประกอบการในร้าน เพื่อเป็นการช่วยเหลือค่าครองชีพ โดยอาจปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่มีต้นทุนถูกลง แต่คุณภาพของสินค้ายังคงเดิมอยู่ หรือแม้กระทั่งการขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการนำสินค้ามือสอง รวมถึงสินค้าอุปโภค บริโภค มาเปิดท้ายขายของ โดยนำร่องใช้ค่ายทหารในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อเปิดขายสินค้าในช่วงปีใหม่นี้

ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจที่ซบเซาต่อเนื่อง จากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ การส่งออกยังไม่ฟื้น หนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นทำให้คนไทยทั้งประเทศในเวลานี้กำลังเดือด ร้อน แม้ก่อนหน้านี้รัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการเร่งรัดจ่ายเงินให้ชาวนาในโครงการรับจำนำที่ค้างมาตั้งแต่รัฐบาลชุด ก่อน การจ่ายเงินช่วยเหลือให้ชาวนา ชาวสวนยางไร่ละ 1,000 บาท รวมไปถึงการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณที่ยังค้างท่อ และงบประมาณก้อนใหม่ แต่...สุดท้ายก็ไม่สามารถกระตุ้นการบริโภคในประเทศให้ฟื้นตัวขึ้นได้มากนัก

ได้เงินแต่ไม่ใช้จ่าย

สาเหตุ หลักที่มาตรการของรัฐบาลไม่เป็นผลมากนัก เหตุเพราะหนีไม่พ้นเรื่องรายได้ประชาชนส่วนใหญ่ลดน้อยลง ขณะที่หนี้สินยังคงมีอยู่ไม่ได้ลดลง เมื่อได้เงินจากการขายสินค้าเกษตรหรือเงินช่วยเหลือจากภาครัฐส่วนหนึ่ง ต้องไปจ่ายหนี้ก่อน โดยเฉพาะหนี้นอกระบบที่มีดอกเบี้ยเฉลี่ยสูงถึง 10-25% ต่อเดือน ที่สำคัญบางส่วน... เมื่อได้เงินมาก็ไม่กล้าใช้จ่าย เพราะไม่มั่นใจกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ จึงต้องการเก็บเงินไว้ใช้จ่ายหรือซื้อสินค้าที่จำเป็นก่อน ขณะที่สินค้าไม่จำเป็นขอพักยกไว้ก่อน รอให้แน่ใจว่าเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างแท้จริง

แหล่งที่มา  :  เดลินิวส์

Source: งัดขายของถูกคืนสุขคนไทยดันกระตุ้นเศรษฐกิจโค้งสุดท้าย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น